เดี๋ยวนี้ forwarding mail เป็นไวรัส สายพันธ์ใหม่ ที่คนทั่วบ้านชานเมือง ต่างก็ติดกันงอมแงม ไม่เว้นแม้แต่ฉัน ขนาดอยู่หลังเขาก็ยังไม่เว้น ก็ถ้าไม่่มี forwarding mail จะมีพล็อตที่ไหนมาเมาท์ เว้นแต่ต้องหลบผู้คนไปอยู่ป่าดงดิบกับทาร์ซาน ถิ่นทุรกันดารห่างไกลเสาส่ง หรือเคเบิล ที่ไวรัสพันธ์นี้ไม่สามารถไปถึง
forwarding mail ใช่ว่าจะเป็นไวรัสที่มีแต่โทษ หากเราอ่านแล้วใคร่ครวญ เก็บสิ่งดี ๆ มีประโยชน์ นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ไวรัสพันธ์นี้ก็ช่วยให้เรามีภูมิต้านทานความทุกข์ได้ จริงไม๊
forwarding mail ส่วนใหญ่ ที่ได้รับมักจะเวียนมาเรื่องเดิม ๆ ที่ฉันเคยได้รับมาแล้วหลายปี หรือบังเอิญไปอ่านเจอที่ใดที่หนึ่งมาแล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณเพื่อนฝูงที่ส่งมาให้ อย่างน้อย พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ยังนึกถึงเรา... อยู่เสมอ
สองสามอาทิตย์ผ่านมา forwarding mail ที่ได้จากเพื่อนฝูงทั้งใกล้ไกล มักจะออกแนว ธรรมะ ธรรมโม เสียส่วนใหญ่ นี่เพื่อน ๆ น้อง ๆ คงเข้าใจผิดคิดว่าเราจะใส่ชุดขาวโกนหัวเข้าวัดกระมัง (เข้าใจผิดอะไรกันไปหรือเปล่าจ้ะ สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้นะ) หารู้ไม่ ว่าฉันมันประเภทนังมารร้ายจำแลง ไม่ได้ธรรมะธรรมโมอะไรปานนั้น แบบที่สุภาษิตไทยว่า "มือถือสาก ปากถือศีล" ประมาณนั้นแหล่ะ
บ้าง Forwarding mail ก็ส่งมาให้ระลึก และเตือนความจำว่าพรุ่งนี้วันพระนะ ไปฟังธรรม ถือศีลกัน...อนุโมทนา
ว่าที่จริง ต้องยกความดีความชอบให้ความตกต่ำของเศรษฐกิจที่พ่นพิษไปทั่วโลก ที่เป็นเหตุหนึ่งทำให้หลายคนหันมาสนใจธรรมะ แต่จะให้ดี ไม่ต้องรอให้เกิดผลกระทบจากเศรษฐกิจก็ได้ เพราะธรรมะอยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง อยู่ในตัวเรา รอบ ๆ ตัวเรา เหมือนที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านกล่าวไว้ว่า “สำหรับผู้มีปัญญา ธรรมะล้วนอยู่ในทุกหย่อมหญ้า ไม่จำเป็นต้องเรียนปริยัติ จึงจะเข้าถึงธรรมะได้”
แปลกแต่จริงว่า หากวันไหนได้ทำอะไร ที่ออกแนวเลียบรั้วหน้าวัดแล้ว รู้สึกมันเย็นสงบ มีความสุขแปลก ๆ แม้จะต้องจิ้มผิดจิ้มถูกควานหาอักษรไทยบน Keyboard จนตาลายก็ตามที ไม่เชื่อลองหาโอกาสไปพบกัลยาณมิตรสักคนสนทนาธรรมด้วยดิ จะพบว่าจริง ไม่หลอกนะ หรือจะลองไปเลียบ ๆ คลิก ดู คลิกดู ก่อนก็ได้ เลือกดูเอาว่าจริตเราชอบแบบใด
มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น
“บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะ จิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมัน เป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้”
อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนีทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ
แต่ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร' สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว
เพราะเห็น ว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง
ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน
คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ
มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม
**********
“เรื่องเล่าจากหลวงตา” คือหนึ่งเรื่องราวใน forwardning mail อยากเล่าสู่ฟัง ต้นเมล์ไม่รู้ว่าเป็นใคร เห็นว่ามีคติคิดดี จึงอยากแบ่งปัน เล่ามาจากเพื่อนฉัน... ณ บ้านริมน้ำ ฝั่งเจ้าพระยา
หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาต เห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นจึงเข้าไป ถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่าณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง
“ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระแต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หา ว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ” หลวงตา นั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า
'เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน
คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น
คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น
คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ'
ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา
'”คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก ตามประสา ปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน
เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝัน ไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ"
'เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน
คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น
คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น
คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ'
ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา
'”คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก ตามประสา ปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน
เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝัน ไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ"
มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น
“บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะ จิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมัน เป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้”
อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนีทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ
แต่ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร' สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว
เพราะเห็น ว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง
ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน
คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ
มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม
เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่า คนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา
เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ
นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล
“ แล้วเรา ต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ” ลูกศิษย์ หยุดร้องไห้แล้วเริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา
ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา
เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ
นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล
“ แล้วเรา ต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ” ลูกศิษย์ หยุดร้องไห้แล้วเริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา
เจ้าต้องทำความ เข้าใจจิตใจมนุษย์
เรียนรู้ว่าความเข้าใจ ผิดเกิดขึ้นได้
เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น
แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ
เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง
ยังไม่ต้องชำระ ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่
เขาเหล่านั้น เป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น
แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม”
“ เข้าใจครับหลวง ตา”
เด็กน้อยยิ้มมีความสุขอีกครั้ง
เรียนรู้ว่าความเข้าใจ ผิดเกิดขึ้นได้
เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น
แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ
เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง
ยังไม่ต้องชำระ ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่
เขาเหล่านั้น เป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น
แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม”
“ เข้าใจครับหลวง ตา”
เด็กน้อยยิ้มมีความสุขอีกครั้ง
**********
No comments:
Post a Comment