Dhamma for Life

"เราจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริงนะ เราต้องศึกษาสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ศึกษาอย่างเดียวไม่พอนะ ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ ด้วยจนเห็นผล พอเห็นผลแล้ว เราก็มีหน้าที่บอกต่อ เนี่ยหน้าที่ของชาวพุทธนะ ตัวเองต้องศึกษา ต้องฟังก่อน ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร เรียกว่าเรียนปริยัตินั้นเอง แล้วก็ลงมือปฏิบัติว่าได้ผลแล้วก็ต้องบอกต่อ ศาสนาถึงจะดำรงอยู่ได้ แต่ละคนมีภารกิจ อย่านึกว่าแค่ว่าเราจะมาฟังธรรมะเล่นๆ แต่ละคนมีความสำคัญทั้งนั้น"


"หนทางยังมีอยู่ ผู้เดินทางยังไม่ขาดสาย ลงมือเสียแต่วันนี้ ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลาจะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป เพราะถึงเวลานั้น พวกเราก็จะต้องระหกระเหินไร้ทิศทาง ไปอีกนานแสนนาน"

...หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช...สวนสันติธรรม...

Jul 6, 2010

เรื่องเล่าจากหลวงตา...จากเพื่อนฉัน ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา




เดี๋ยวนี้ forwarding mail เป็นไวรัส สายพันธ์ใหม่ ที่คนทั่วบ้านชานเมือง ต่างก็ติดกันงอมแงม ไม่เว้นแม้แต่ฉัน ขนาดอยู่หลังเขาก็ยังไม่เว้น ก็ถ้าไม่่มี forwarding mail จะมีพล็อตที่ไหนมาเมาท์  เว้นแต่ต้องหลบผู้คนไปอยู่ป่าดงดิบกับทาร์ซาน ถิ่นทุรกันดารห่างไกลเสาส่ง  หรือเคเบิล ที่ไวรัสพันธ์นี้ไม่สามารถไปถึง 


forwarding mail ใช่ว่าจะเป็นไวรัสที่มีแต่โทษ  หากเราอ่านแล้วใคร่ครวญ เก็บสิ่งดี ๆ มีประโยชน์ นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ไวรัสพันธ์นี้ก็ช่วยให้เรามีภูมิต้านทานความทุกข์ได้ จริงไม๊

forwarding mail ส่วนใหญ่ ที่ได้รับมักจะเวียนมาเรื่องเดิม ๆ ที่ฉันเคยได้รับมาแล้วหลายปี หรือบังเอิญไปอ่านเจอที่ใดที่หนึ่งมาแล้ว  แต่ก็ต้องขอบคุณเพื่อนฝูงที่ส่งมาให้ อย่างน้อย พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ยังนึกถึงเรา... อยู่เสมอ

สองสามอาทิตย์ผ่านมา forwarding mail ที่ได้จากเพื่อนฝูงทั้งใกล้ไกล มักจะออกแนว ธรรมะ ธรรมโม เสียส่วนใหญ่  นี่เพื่อน ๆ น้อง ๆ คงเข้าใจผิดคิดว่าเราจะใส่ชุดขาวโกนหัวเข้าวัดกระมัง (เข้าใจผิดอะไรกันไปหรือเปล่าจ้ะ  สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้นะ)  หารู้ไม่ ว่าฉันมันประเภทนังมารร้ายจำแลง  ไม่ได้ธรรมะธรรมโมอะไรปานนั้น  แบบที่สุภาษิตไทยว่า  "มือถือสาก ปากถือศีล"  ประมาณนั้นแหล่ะ

บ้าง Forwarding mail ก็ส่งมาให้ระลึก และเตือนความจำว่าพรุ่งนี้วันพระนะ ไปฟังธรรม ถือศีลกัน...อนุโมทนา

ว่าที่จริง ต้องยกความดีความชอบให้ความตกต่ำของเศรษฐกิจที่พ่นพิษไปทั่วโลก ที่เป็นเหตุหนึ่งทำให้หลายคนหันมาสนใจธรรมะ แต่จะให้ดี ไม่ต้องรอให้เกิดผลกระทบจากเศรษฐกิจก็ได้ เพราะธรรมะอยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง อยู่ในตัวเรา รอบ ๆ ตัวเรา เหมือนที่หลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต ท่านกล่าวไว้ว่า สำหรับผู้มีปัญญา ธรรมะล้วนอยู่ในทุกหย่อมหญ้า ไม่จำเป็นต้องเรียนปริยัติ จึงจะเข้าถึงธรรมะได้
 
แปลกแต่จริงว่า หากวันไหนได้ทำอะไร ที่ออกแนวเลียบรั้วหน้าวัดแล้ว รู้สึกมันเย็นสงบ มีความสุขแปลก ๆ  แม้จะต้องจิ้มผิดจิ้มถูกควานหาอักษรไทยบน Keyboard จนตาลายก็ตามที  ไม่เชื่อลองหาโอกาสไปพบกัลยาณมิตรสักคนสนทนาธรรมด้วยดิ จะพบว่าจริง ไม่หลอกนะ  หรือจะลองไปเลียบ ๆ คลิก ดู คลิกดู ก่อนก็ได้  เลือกดูเอาว่าจริตเราชอบแบบใด











เรื่องเล่าจากหลวงตา  คือหนึ่งเรื่องราวใน forwardning mail อยากเล่าสู่ฟัง ต้นเมล์ไม่รู้ว่าเป็นใคร เห็นว่ามีคติคิดดี จึงอยากแบ่งปัน  เล่ามาจากเพื่อนฉัน... ณ บ้านริมน้ำ ฝั่งเจ้าพระยา

ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง
หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาต  เห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นจึงเข้าไป ถามไถ่ว่าเป็นอะไร  ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า
ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระแต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หา ว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ หลวงตา นั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า
'
เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน
คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น
คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น
คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ'
ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา
'”
คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก ตามประสา ปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม  เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน
เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝัน ไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ"


มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น
บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะ จิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมัน เป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้
อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนีทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ
แต่ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร' สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว
เพราะเห็น ว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง
ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน
คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ
มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม
เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่า คนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา
ห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ
นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล

แล้วเรา ต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ ลูกศิษย์ หยุดร้องไห้แล้วเริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา
เจ้าต้องทำความ เข้าใจจิตใจมนุษย์
เรียนรู้ว่าความเข้าใจ ผิดเกิดขึ้นได้
เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น
แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ
เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง
ยังไม่ต้องชำระ ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่
เขาเหล่านั้น เป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น
แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม

เข้าใจครับหลวง ตา
เด็กน้อยยิ้มมีความสุขอีกครั้ง

**********




No comments:

Post a Comment