Dhamma for Life

"เราจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริงนะ เราต้องศึกษาสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ศึกษาอย่างเดียวไม่พอนะ ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ ด้วยจนเห็นผล พอเห็นผลแล้ว เราก็มีหน้าที่บอกต่อ เนี่ยหน้าที่ของชาวพุทธนะ ตัวเองต้องศึกษา ต้องฟังก่อน ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร เรียกว่าเรียนปริยัตินั้นเอง แล้วก็ลงมือปฏิบัติว่าได้ผลแล้วก็ต้องบอกต่อ ศาสนาถึงจะดำรงอยู่ได้ แต่ละคนมีภารกิจ อย่านึกว่าแค่ว่าเราจะมาฟังธรรมะเล่นๆ แต่ละคนมีความสำคัญทั้งนั้น"


"หนทางยังมีอยู่ ผู้เดินทางยังไม่ขาดสาย ลงมือเสียแต่วันนี้ ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลาจะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป เพราะถึงเวลานั้น พวกเราก็จะต้องระหกระเหินไร้ทิศทาง ไปอีกนานแสนนาน"

...หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช...สวนสันติธรรม...

Jan 7, 2011

Taste what is in the Heart...หากเราไม่ทิ้งธรรม ธรรมก็ไม่ทิ้งเรา


ภาวนานะแล้วชีวิตจะดีขึ้น อย่าทิ้งธรรมะนะแล้วธรรมะจะไม่ทิ้งเรา เคยทำชั่ว เคยทำผิด อย่าทำอีก ตั้งอกตั้งใจต่อสู้กิเลสนะ ไม่มีใครให้โอกาสกับชีวิตเรา ได้เท่าตัวเราเอง จำไว้อย่างหนึ่ง ถ้าเราไม่ทิ้งธรรมะ วันข้างหน้าเราต้องดีกว่านี้ แต่ถ้าเราทิ้งธรรมะเราตามอธรรมไป วันข้างหน้าก็ต้องเลวกว่านี้แน่ อดทนนะ อดทน ใครเคยผิดเคยพลาดก็ตั้งอกตั้งใจเอาใหม่ ไม่ทำอีก 

คำสอนของหลวงพ่อฯ ที่พร่ำสอนลูกศิษย์นั้น นอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจ และกำลังใจให้กับลูกศิษย์ให้หมั่นเพียรปฏิบัติ มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้ว ธรรมของพระพุทธเจ้า ที่หลวงพ่อฯ นำมาพร่ำสอนลูกศิษย์ทั้งใกล้ไกลโพ้นทะเล ได้ประจักษ์แจ้งในใจ และเห็นผลจริงต่อผู้นำไปปฏิบัติ   ธรรมจะไม่ทิ้งเรา เมื่อเราไม่ทิ้งธรรม ดังตัวอย่างจดหมายข้างล่าง

ผู้เขียนขอถือวิสาสะ ขออนุญาติ นำมาแปะไว้ที่บ้าน ทั้งเพื่อเตือนใจ ให้กำลังใจตนเอง และเพื่อแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้ทุกคนได้อ่านกัน เผื่อว่ามีประโยชน์ ขออนุโมทนาบุญกับจ้าของจดหมายและที่มาของบทความ, http://www.dhammada.net/2011/01/03/6738/  มา ณ ที่นี้


จดหมายจากอดีตนักโทษผู้กลับใจถึงหลวงพ่อฯ


บทความจากนักโทษคนหนึ่ง

ก่อนอื่นผมต้องขออภัยนะครับหากทำให้ใครหลายคนรู้สึกกลัวกับคำว่า นักโทษข้างบน  ขอกล่าวถึงที่มาของผมกันก่อนนะครับ ชีวิตผมนั้นในช่วงวัยรุ่นมันค่อนข้างจะมัวเมาและลุ่มหลงในรูปรสกลิ่นเสียงอยู่มาก เกเรมากจนติดคุกติดตารางทุกสิ่งทุกอย่างที่ผิดพลาดเกิดจากความอยากทั้งนั้น ผมเป็นนักโทษครับ ถูกจำคุกด้วยคดีค้ายาเสพติดและแน่นอนผมก็เสพยาด้วย ผมถูกตัดสินจำคุกถึง 6 ปี แต่ความที่ยอมรับโทษทุกสถานจึงติดคุกจริงเพียง 3 ปี ผมอยู่ในวังวนชีวิตด้านมืดนี้ของสังคม เสพยาค้ายามาตั้งแต่เรียนชั้น ม.3 จนครอบครัวต้องพาไปอยู่ต่างจังหวัด แต่เวลากลับมาบ้านอีกเมื่อไหร่เป็นต้องกลับไปเสพยา ค้ายาเหมือนเดิมทุกครั้งจนสุดท้ายต้องติดคุก ชีวิตในเรือนจำทุกข์ทรมานมาก แต่ถึงทุกข์กายเท่าไหร่ก็ไม่เท่าความทุกข์ทางใจ เศร้าหมอง มีแต่ความห่อเหี่ยว สิ้นหวัง ใจมันมืดดำ

แล้ววันนึงคนรักของผมก็ส่งหนังสือ วิถีแห่งความรู้แจ้ง เล่ม 1-2” ของหลวงพ่อมาให้เธอบอกว่าดีมาก ขอให้อ่าน ผมก็อ่านให้เธอ แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก จับจุดได้เพียงว่าให้มีสติรู้กายรู้ใจ ผมจึงทำความรู้สึกอยู่กับลมหายใจ ความมีสติครั้งนั้นทำให้ผมมีความสุขมาก มันเป็นความสุขสว่างท่ามกลางความมืดมนที่อยู่คู่กับใจผมมานาน ผมเห็นความหงุดหงิดใจเวลาที่แม่มาเยี่ยมแล้วเอาแต่ร้องไห้ ผมรู้ว่าผมมันเลว แต่ตอนนั้นผมก็ทำอะไรให้แม่รู้สึกดีไม่ได้จริงๆ เห็นความกระวนกระวายที่เวลาคนรักมาแล้วคุยกันไม่รู้เรื่อง ในคุกเวลาเหมือนจะหยุดอยู่กับที่ ทุกอย่างเหมือนจะถูกบีบ ถูกบังคับให้ยอมรับโดยไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง ผมสังเกตจิตใจตัวเองได้บ้างแต่ก็ไม่ต่อเนื่องนักเพราะส่วนใหญ่มันจะจมลงไปในความทุกข์ ความสิ้นหวังซะมาก คนรักของผมเธอยังคงวนเวียนส่งหนังสือธรรมะมาให้มากมาย ทั้งของคุณดังตฤณ และอาจารย์สุรวัฒน์ ทั้งยังมีซีดีหลวงพ่อด้วยเธอขอให้เจ้าหน้าที่เปิดให้ผมฟังวันละครึ่งชั่วโมงก็ยังดี ผมอ่านหนังสือให้เธอทุกเล่ม แต่ซีดีหลวงพ่อผมไม่เคยได้ฟังเจ้าหน้าที่บอกว่าหากเป็นซีดีเพลงก็จะเปิดให้
เรื่องภาวนาผมก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง เพราะข้างในการจะดีดตัวให้ต่างจากคนอื่นมันยากจริงๆครับในเมื่อเป็นแหล่งรวมคนที่มีด้านมืดมาเหมือนกัน  และตั้งแต่ผมโตมาผมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับศาสนาอยู่แล้ว รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อซะด้วยซ้ำ ผมไม่ชอบเลยกับบุคคลที่เรียกตัวเองว่า นักปฏิบัติธรรม เพราะรู้สึกว่านักปฏิบัติธรรมเป็นกลุ่มคนที่แปลกๆ รู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะปกติซักเท่าไร กับการที่ทำตัวไม่เหมือนคนอื่นเพราะในตอนเด็กๆ เห็นว่านักปฏิบัติธรรมจะต้องเคร่งขรึมสำรวมมาก เหมือนกับการทวนกระแสโลก ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอกว่าเขาทำไปเพื่ออะไร และมีประโยชน์อะไร คนเราเกิดมาก็ต้องเสพสุข ซิ ใช้ชีวิตให้สนุกสนานให้สมกับการที่ได้เกิดมาเป็นคน แต่ก่อนผมคิดได้แค่นี้ เห็นเค้ารักษาศีลกันก็ยังนึกเลยว่าพวกเขาคงจะไม่สนุกเหมือนเราหรอกเพราะพวกเขาไม่ได้กินเหล้ากินยาอย่างเรา ชีวิตเขาคงจะน่าเบื่อ แต่ผมก็รักษาศีลนะ ศีล5 ผมรักษาหนึ่งข้อ คือข้อที่ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ ผมจะไม่ตบยุงและไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งเล็กและใหญ่โดยไม่จำเป็น แต่ผมก็ทำได้เท่านั้นแหละครับ คนรักผมเธอยังส่งรูปหลวงพ่อมาให้ผมกราบไหว้ด้วย เธอเคารพและศรัทธาหลวงพ่อมากจนบางครั้งผมยังรู้สึกสงสัยอยู่ภายในว่าทำไมเธอถึงรักท่านอย่างนี้ บางทีถึงกับรู้สึกต้านด้วยซ้ำไป แต่ผมก็เก็บไว้และกราบไหว้ตามประสาจนปล่อยตัวออกมา
ในครั้งแรกที่ผมได้พบหลวงพ่อเป็นวันที่ผมเพิ่งจะออกจากเรือนจำได้แค่หนึ่งวัน  รู้สึกสับสนกับชีวิตข้างนอกนี้มากๆ แถมยังถูกคนรักบังคับให้มาวัดอีกจิตใจในตอนนั้นจึงมีแต่แรงต้านเพราะถูกบังคับ ไม่ได้มาเพราะอยากฟังธรรม จิตใจมีแต่ความเศร้าหมองเพราะชอบนึกถึงอดีตที่ผิดพลาด ชีวิตหาความสุขไม่ได้เอาเลย  แต่การมาวัดในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นเป็นการเกิดใหม่ของผม และคงถึงเวลาของผมที่จะได้เรียนรู้คำสอนของพระพุทธองค์ การฟังธรรมในวันนั้นเหมือนกับได้พบกับสิ่งอัศจรรย์ ในชีวิตนี้ผมก็เคยฟังธรรมมาบ้าง เรื่อง ธาตุสี่ ขันต์ห้า รูปนามนี้ก็พอรู้  แต่พอได้ฟังธรรมที่หลวงพ่อเทศน์อะไรๆมันก็ต่างไปจากเดิมซะหมด  ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนกับว่าได้เข้าใจสิ่งต่างๆภายในกายในใจนี้มากขึ้น ไม่เคยฟังธรรมครั้งใดแล้วรู้สึกสว่างกระจ่างใจเหมือนครั้งนี้เลย หลังจากที่ได้ฟังธรรมในครั้งนั้นแล้ว รู้สึกเหมือนว่าจิตใจมันตื่นตัว มันอยากภาวนา  การไปวัดในครั้งนั้นถือได้ว่าเป็นการหอบเอาทุกข์ทั้งชีวิตไปทิ้งซะครึ่งนึงเห็นจะได้ ผมยังจำได้คำสอนของท่านในครั้งนั้นได้แจ่มชัด “ ภาวนานะแล้วชีวิตจะดีขึ้น อย่าทิ้งธรรมะนะแล้วธรรมะจะไม่ทิ้งเรา เคยทำชั่ว เคยทำผิด อย่าทำอีก ตั้งอกตั้งใจต่อสู้กิเลสนะ ไม่มีใครให้โอกาสกับชีวิตเรา ได้เท่าตัวเราเอง จำไว้อย่างหนึ่ง ถ้าเราไม่ทิ้งธรรมะ วันข้างหน้าเราต้องดีกว่านี้ แต่ถ้าเราทิ้งธรรมะเราตามอธรรมไป วันข้างหน้าก็ต้องเลวกว่านี้แน่ อดทนนะ อดทน ใครเคยผิดเคยพลาดก็ตั้งอกตั้งใจเอาใหม่ ไม่ทำอีก  ผมจำใส่ใจกลับมาและในเวลาที่ต้องเผชิญหน้า มันยากมากกับการที่จะปฏิเสธยาบ้าจากเพื่อนเก่าที่นำมาให้ถึงบ้าน วางไว้ให้กับมือ แต่คำสอนของหลวงพ่อก็ทำให้ผมเอาชนะใจตัวเองจนได้ ผมปฏิเสธและเลิกยุ่งเกี่ยวกับทางนี้เด็ดขาดมาถึงทุกวันนี้ ธรรมของหลวงพ่อ เป็นธรรมะที่ฟังเข้าใจได้ง่ายการปฏิบัติที่ถูกต้อง แค่มีสติรู้สึกตัวอยู่เนืองๆ ทำให้ความทุกข์ที่ผมเคยมีมันหายไปได้จริงๆ  อัศจรรย์ใจเหลือเกินธรรมนี้ง่ายนิดเดียวเอง  ในวันนี้เมื่อนึกย้อนไปในอดีตคิดถึงตัวเองในตอนนั้น ได้รู้สึกถึงจิตใจที่เศร้าหมองอมทุกข์  แต่ในปัจจุบันนี้มันช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน ความทุกข์ความเศร้าหมองที่เคยมีมาตั้งแต่เด็กในวันนี้มันจากหายไป
จนถึงตอนนี้เกือบ1 ปีแล้วที่ผมได้เรียนและฝึกภาวนากับหลวงพ่อ ได้ฟังธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอน ผ่านมาทางหลวงพ่อ คำสอนของหลวงพ่อเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย ผมไม่เคยคิดเลยว่าการปฎิบัติธรรมภาวนาจะเป็นเรื่องที่เรียบง่ายอย่างนี้ ในวันนี้ที่ทุกข์ กับเมื่อในอดีตที่ทุกข์ความทุกข์อย่างเดียวกันแต่ความรู้สึกมันแตกต่างทุกข์น้อยลงมากๆ ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของจิตใจตัวเอง รู้สึกถึงความเข้มแข็งที่เกิดขึ้นเองภายในใจ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่สมบูรณ์มากขึ้นทั้งความคิดและจิตใจ แต่ก่อนผมเป็นคนมองโลกในแง่ลบ ชอบใช้กำลัง ชอบเพ่งโทษคนอื่นเห็นแต่คนอื่นเขาไม่ดีแต่กลับไม่เคยเห็นใจของตัวเองเลย  แต่พอได้มาภาวนาหัดรู้กายรู้ใจ ยิ่งภาวนาเข้มแข็งและตั้งใจขึ้นเท่าไรก็จะได้เห็นจิตใจที่มันเปลี่ยนแปลงและพัฒนามากขึ้นเท่านั้น ในวันนี้ผมรู้สึกถึงความอ่อนโยนที่เกิดขึ้นในจิตใจความเบิกบานที่ผุดขึ้นมาเองจากข้างใน  ผมไม่เคยรู้เลยว่าความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ในกายในใจเรานี้เอง  เป็นความสุขที่เกิดขึ้นเองโดยไม่อาศัยสิ่งภายนอก  และในปัจจุบันนี้ผมได้รู้ถึงคุณค่าของศีลแล้วครับ ถ้าในตอนนี้ให้ตัดสินใจเลือกระหว่าง การมีศีลที่บริสุทธิ์กับสมบัติเงินทองแล้ว ไม่ต้องคิดเลยในวันนี้ผมเลือกที่จะมีศีล แต่ก่อนเคยผิดศีลเพื่อหาความสุขให้ตัวเอง แต่ในตอนมันกลับกันยิ่งรักษาศีลก็ยิ่งเข้มแข็งและมีความสุขขึ้นมากกว่าแต่ก่อนซะอีกวันไหนทำผิดศีลใจมันเป็นทุกข์จะเป็นจะตาย  ธรรมนี่ช่างวิเศษจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอะไรที่ทำให้ชีวิตมีความสุขได้ถึงขนาดนี้
ในวันนี้ผมมีความสุขในชีวิตมาก ครอบครัวผมก็มีความสุขไปด้วยที่เห็นผมกลับตัวเป็นคนใหม่ได้อย่างนี้ และถ้าจะให้บอกว่าตั้งแต่เรียนกับหลวงพ่อมานี้ได้อะไรจากท่านบ้างนั้น  ตอบไม่ถูกเลยจริงๆ เพราะมันมากมายเกินจะกล่าวถึงได้ หลวงพ่อท่านมอบให้เรามีแต่สิ่งที่ดีงาม ธรรมที่ท่านนำมาสอนนั้นเปรียบได้กับของล้ำค่าเป็นสิ่งที่มีค่าและมีประโยชน์ต่อทุกๆคนจริงๆ  มีเงินมีทองกองเท่าภูเขาแต่ก็ไม่มีความสุขเท่าได้ภาวนา ในวันนี้ผมได้รู้สึกถึงโทษภัยในสังสารวัฏว่ามันน่ากลัวและเป็นทุกข์เป็นโทษมากจริงๆ  ได้เห็นคุณค่าของการได้เกิดมาเป็นคน ทุกลมหายใจมีความหมายเสมอ  ได้เป็นผู้มีศรัทธาในพระศาสนาและเข้าใจถึงความรักที่องค์พระพุทธเจ้าทรงมีให้แก่สัตว์โลก และที่สำคัญที่สุดคือ ผมเหมือนมีชีวิตใหม่ ลืมสิ่งเลวร้ายที่เคยทำในอดีตไปได้ โดยใช้หลักที่หลวงพ่อสอน คือ ไม่คิดซ้ำ ไม่ทำอีก และได้พบความสุขแท้ๆที่มีอยู่ในตัวเอง
ผมขอเป็นอีกหนึ่งคนนะครับ ที่จะขอยืนยันว่าสิ่งที่หลวงพ่อนำมาสอนนี้มีประโยชน์ต่อผู้ยังมีความทุกข์อยู่ทุกคน ผู้ที่มุ่งหวังปฏิบัติภาวนาจนถึงแก่นแท้ของธรรม  หรืออย่างน้อยก็ผู้ที่อยากทำให้ตัวเองและคนรอบข้างมีความสุข ทั้งยังไม่เป็นพิษภัยต่อสังคม ผมมานึกๆดูหากผมยังเสพยา ผมก็ต้องขายยา วันนึงผมขายได้อย่างต่ำร้อยเม็ด เราไม่รู้เลยว่าร้อยเม็ดนั้นแต่ละคนที่มาซื้อ เค้าก่ออาชญากรรมอะไรมา และเมื่อเขาเสพยาแล้ว เขาจะไปก่ออาชญากรรมอะไรต่ออีก แค่ลำพังผมดีขึ้นมาได้ ก็ยังประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างนี้ หากธรรมะของพระพุทธแผ่ออกไปกว้างกว่านี้ สังคมคงจะร่มเย็นขึ้นมาก สำหรับผมแล้วหลวงพ่อเป็นเหมือนเทียนต้นใหญ่ที่ต่อไฟมาจากพระพุทธองค์ และนำมาต่อไฟเทียนเล็กๆของเราให้สว่างไสวขึ้น ภาพที่ผมรู้สึกได้คือเทียนที่หลวงพ่อต่อไว้ หลายร้อยเล่ม หลายพันเล่ม แต่ละเล่มก็กลับไปทำให้สังคมรอบข้างตัวเองดีขึ้น ความสว่างก็ค่อยๆกระจายออกไป ผมจึงอยากให้คำสอนหลวงพ่อนี้ได้แผ่ขยายเป็นวงกว้างเพื่อให้ทุกๆ คนได้ยินได้ฟัง ชีวิตจะได้ชุ่มเย็นกันขึ้นมา สังคมจะได้ร่มเย็นตามไปด้วย
ผมขอน้อมกราบหลวงพ่อด้วยเศียรเกล้านะครับ ขอขอบพระคุณที่ทำให้ผมมีวันนี้   ขอบพระคุณในความเมตตาที่หลวงพ่อมีต่อพวกผม ยอมเสียสละตัวเอง  ยอมเหน็ดเหนื่อยพร่ำบอกพร่ำสอน  เพื่อจะบอกต่อทางพ้นทุกข์ให้กับทุกๆคน หลวงพ่อเป็นผู้มีพระคุณเป็นเหมือนพ่อแม่สำหรับผมจริงๆครับ ผมอยากบอกว่าผมรักหลวงพ่อนะครับ ผมจะพากเพียรภาวนาเพื่อเดินสู่ที่สุดแห่งทุกข์ออกจากเรือนจำแห่งอวิชชานี้ได้ในภพชาติใดภพชาติหนึ่งข้างหน้าครับ และสำคัญกว่านั้นเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และอาจาริยบูชาแด่หลวงพ่อและคุณแม่ชีนุชจนกว่าลมหายใจนี้จะไม่มีครับ
……                                                                         ขอกราบนมัสการหลวงพ่อครับ
นักโทษคนหนึ่งที่จะไม่ผิดซ้ำอีก

No comments:

Post a Comment