ความจริงแท้ ที่มุนุษย์เราปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อเราเกิดมา เราต้องยอมรับ ความแก่ ความเจ็บ และความตายด้วยเสร็จสรรพ (ของแถมที่ได้มาแบบไม่ได้ร้องขอ แต่ปฏิเสธและหลีกเลี่ยงไม่ได้) และอาจจะต้องเวียนว่ายเกิดมาอีก (แต่จะเกิดเป็นอะไรนั้น ไม่รู้ได้) ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ วนเวียนอยู่ในวังวนนี้ อย่างที่ภาษาพระว่า "สังสารวัฏ" แต่พระพุทธเจ้าท่านได้แสดงธรรมไว้ให้เราปฏิบัติตาม มนุษย์มีความสามารถที่จะพัฒนาตน จนกระทั่งดับเหตุทั้งปวง เพื่อที่จะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ได้
ครั้งหนึ่งฟังเรื่องเล่าจากครูบาอาจารย์ ท่านเล่าถึงบรมครูของท่านให้เหล่าลูกศิษย์ฟังว่า มีผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งได้กราบถามหลวงปู่ดูลย์ว่า หลวงปู่ ทำไมหนูต้องเกิดมา หลวงปู่เมตตาตอบว่า "ไม่รู้" ("ไม่รู้" ในความหมายหลวงปู่นั้นหมายถึง เพราะ "ไม่รู้" จึงต้องเกิดมา) แต่ผู้ปฏิบัติท่านนั้น ก็ยังไม่เข้าใจ ก็ถามหลวงปู่อีก หลายครั้ง หลวงปู่ก็บอก ไม่รู้ และอีกครั้ง "ไม่รู้" ท้ายสุดนักปฏิบัติท่านนั้น ก็พูดว่า "ถ้าหลวงปู่ไม่รู้ แล้วใครจะรู้หล่ะ"
หากเป็นผู้เขียนสมัยก่อน ก็คงไม่เข้าใจ "ไม่รู้" ที่หลวงปู่บอกเช่นกัน ซึ่ง "ไม่รู้" นั้นหลวงปู่หมายถึง "ก็เพราะความไม่รู้ จึงเกิดมา"
เอาหล่ะ ทีนี้ ไหนๆ เราก็เกิดมาแล้ว และวันหนึ่งก็ต้องตาย แล้วจะทำอย่างไร "เราจะตายดี" เมื่อถึงคราวที่เราต้อง "ตาย" (รวมทั้งผู้เขียนด้วย)
วันนี้เกิดอยากจะเข้าไปอ่าน ธรรมะใกล้ตัว ก็เลยได้อ่านบทความ ที่โดนใจ จาก บ.ก.ใกล้ตัว "ดังตฤณ" และรู้สึก ใช่เลย บทความที่อาจเร้าใจหลายคน ให้เข้าใกล้เหตุดี เหตุที่จะทำให้เราลองศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์ เพื่อที่ว่า อย่างน้อย เราคงไม่ตาย แบบ "ไม่รู้" และวันหนึ่งเมื่อเรารู้แล้ว เราคงไม่ต้องเกิดมากับ "ความไม่รู้" อีกหลายภพ หลายชาติ...แน่นอน
รู้ได้จะตายดี
<อดีต> เคยเกิดขึ้นจริง
<อนาคต> ต้องมาถึงแน่
<ปัจจุบัน> อาจไม่มีถ้าคิดถึงแต่อดีตและอนาคต
<ความสุข> เป็นเรื่องน่าติดใจ
<กิเลส> ทำให้เราอยากเสพสุข
<ความไม่รู้> ทำให้เราหมั่นก่อเหตุแห่งทุกข์
<ความทุกข์> เป็นเรื่องน่าหน่ายหนี
<ความอยากได้ดี> ทำให้เรามีแก่ใจทำบุญ
<ความขี้เกียจ> ทำให้เราชักช้าทอดธุระ
<สวรรค์> เป็นรางวัลล่อใจที่มองไม่รู้
<นรก> เป็นบทลงทัณฑ์ที่ดูไม่เห็น
<คนใกล้ตาย> เท่านั้นที่เลิกพูดว่าข้าไม่สน
<นิพพาน> เป็นอิสรภาพขั้นสูงสุด
ถึงความหยุดอาลัยในตัวตนและคนรอบตัว
คนกลัวหมดสนุกจึงพลอยกลัวนิพพานกันทั้งนั้น
<พุทธศาสนา> ชวนให้หาความจริงทั้งหมด
แต่ไม่บีบคั้นให้ทุกคนบวชหานิพพานประการเดียว
ถ้ายังอยากเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ก็ไม่ขัด
<ชาวพุทธ> มีความหลากหลาย
การตกลงใจทำชีวิตให้มีทิศแบบไหน
คือตัวบอกว่าเราคือชาวพุทธประเภทใด
<มโนธรรม> จะนำให้เราเป็นชาวพุทธที่แสนดี
<อัตตา> อาจพาให้เราเป็นชาวพุทธที่สุดเลว
<อนัตตา> มีไว้ดูเพื่อให้เป็นชาวพุทธที่บริสุทธิ์แท้
<ความรู้> ทำให้คิดเป็น
<ความเข้าใจ> ทำให้พูดออก
<ความเข้าถึง> ทำให้ใจเป็นธรรม
<กายใจ> มีไว้รู้ว่าทุกความไม่เที่ยงไม่ใช่เรา
<การเจริญสติ> คือการฝึกรู้ให้จริงว่ากายใจไม่เที่ยง
<มรรคผล> ปรากฏเองเมื่อตัวเราหายไปจากกายใจ
ดังตฤณ
มกราคม ๕๔
มกราคม ๕๔
------------------------------------------------------------------------------------
No comments:
Post a Comment