Dhamma for Life

"เราจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริงนะ เราต้องศึกษาสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ศึกษาอย่างเดียวไม่พอนะ ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ ด้วยจนเห็นผล พอเห็นผลแล้ว เราก็มีหน้าที่บอกต่อ เนี่ยหน้าที่ของชาวพุทธนะ ตัวเองต้องศึกษา ต้องฟังก่อน ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร เรียกว่าเรียนปริยัตินั้นเอง แล้วก็ลงมือปฏิบัติว่าได้ผลแล้วก็ต้องบอกต่อ ศาสนาถึงจะดำรงอยู่ได้ แต่ละคนมีภารกิจ อย่านึกว่าแค่ว่าเราจะมาฟังธรรมะเล่นๆ แต่ละคนมีความสำคัญทั้งนั้น"


"หนทางยังมีอยู่ ผู้เดินทางยังไม่ขาดสาย ลงมือเสียแต่วันนี้ ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลาจะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป เพราะถึงเวลานั้น พวกเราก็จะต้องระหกระเหินไร้ทิศทาง ไปอีกนานแสนนาน"

...หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช...สวนสันติธรรม...

Aug 3, 2010

Mangala Sutta and Friendship

ไหน ไหน ก็ สลับโหมดเขียน งานฉลอง และต้อนรับแล้ว เลยถือโอกาสต่อด้วย เพื่อนเก่าเข้ามาเยือน” 
ขอบคุณน้ำใจเพื่อนผ่าน โลกไซเบอร์สเปซ เสียเลย
 
ก่อนอื่น หวังว่า  เพื่อนคงเดินทางกลับถึงเมืองไทยด้วยความสวัสดิภาพและอิ่มใจ

หลังจากเก็บตกแหล่งท่องเที่ยวดินแดนแห่งนมวัวและถิ่นผลิตชีสกว่า 3000 ชนิด  เพื่อนเก่าคู่บุญ สามี-ภรรยา อุตส่าห์ดั้นด้นหาบ้านฉันจนเจอ (เก่งซะไม่มี nga) แถมหอบของกำนัลหลากหลายมาฝาก  หนึ่งในนั้นมีของที่ฉันชอบ คือส้มโอแสนอร่อยลูกเขียวสดจากเมืองไทย (ช่างมีบุญเสียจริํ๊ง  แค่นึกก็ได้กิน เนอะ อย่างกับรู้ใจ) น่ากินขนาดไหนดูเอาเองแล้วกัน  (เดชะบุญ ที่ฉันยังเก็บ chip no. 14 ที่แม่ฝังไว้้ใน DNA เมื่อครั้งเป็นเด็กหญิง มาใช้ ไม่งั้น คงเหมือนลิงได้กระป๋องโค้ก กินก็ไม่ได้ ได้แต่โยนไป-มา) น้ำใจเพื่อนมากเหลือสมกับเป็นคนชอบทำบุญ   อุตส่าห์หอบมาเป็นลูกให้ลำบาก แต่ก็ขอบใจเพื่อนมั่ก ๆ ในน้ำจิตมิตรไมตรี  


เพื่อนบอก ด้วยเทคโนโลยีชั้นดีที่ใครก็รู้จัก (ยกเว้นทาร์ซานในป่าดงดิบ ที่ไม่ต้องใช้ GPS: Global Positioning System:  ระบบบอกตำแหน่งบนพื้นผิวโลก) ท่องเที่ยวที่นี่ไม่ลำบาก เพราะมี GPS ตัวจิ๋วนำทาง  เพื่อนบอกฉันพร้อมควักจิ๋วที่ว่าขึ้นมาโชว์ประกอบ แถมชี้ตำแหน่งบ้านฉันให้ดู  เพื่อนถามฉันกลับมาว่า ไปได้ไง เนปาล และอินเดีย ไม่มี GPS ไม่กลัวหลงหรือไง  เพื่อนคงไม่ว่าฉันเวอร์หรือโม้ หากฉันจะบอกเพื่อนว่า  วิทยาการล้ำเลิศ ประเสริฐกว่า GPS นะมีนะ อีกทั้งไม่ต้องพึ่งพาสัญญาณนอกโลกให้วุ่นวาย  เพราะบางครั้งตาเนื้อกับ GPS อาจทำเราหลงทางได้นะจ้ะ...จะบอกให้   

ก่อนเพื่อนกลับทิ้งของฝากอันมีค่าไว้ให้โดยไม่บอกกล่าว  ทำเอาฉันอึ้ง เหมือนกับเพื่อนจะรู้ใจ  คือเหรียญในหลวงตอนทรงผนวช ( แถมเลี่ยมทองมาอย่างดี)  ที่ฉันคิดอยากได้มาหลายปี เพื่อนบอกอย่าคิดมากรับเอาไว้เพราะของนี้มีเจ้าของ... คือเรา  แถมย้ำกลับมาว่า ตั้งใจทำมาให้มานานแล้วและคิดว่าฉันคงชอบ เมื่อเพื่อนตั้งใจแล้วใยฉันจะปฎิเสธ ฉันอึ้งในน้ำใจ จึงรับไว้ด้วยยินดี  คิดว่าเพื่อนคงอิ่มใจเมื่อรู้ว่า เหรียญนี้มีค่าและสำคัญมากกับเรา (ไม่ใช่ทองนะยะ อย่าเข้าใจผิด) ให้เพื่อนรู้แต่เพียงว่า มากกว่าคำขอบคุณ นั้นคือ  ฉันเห็นเหรียญเมื่อไร ใจฉันมีปิติเมื่อนั้น ขอบุญนี้ถึงเพื่อนทั้งสอง ให้อยู่เย็น และเป็นสุข ทุกคืนวัน...จากใจ







พูดถึงเพื่อน  ให้นึกถึงคำสอนในมงคลสูตร ที่เรียกกันว่า มงคล 38 ประการ คือ เหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในชีวิต ที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบเทวดาช่างสงสัย (เนื่องจากเกิดความวุ่นวายทั้งเหล่าเทวดาและมนุษย์ เพราะด้วยเกิดลัทธิพิํธีมงคลและความเชื่อแตกต่างกัน มาร่วม 12 ปี) ว่า คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญและความสุข  

จึงนับว่า ฉันยังพอมีบุญ ที่มีเพื่อน และมิตรดีดี รอบข้าง ที่จัดอยู่ในมงคลสูตร ในความหมาย ของคำสอนขององค์สมเด็จพระศาสดา ที่แนะนำเหตุแห่งความสุข ความเจริญและก้าวหน้าในชีวิตไว้ คือ มงคลข้อที่ ๒  ความคบบัณฑิต

บัณฑิตในความหมายของพระพุุทธเจ้า คือผู้มีปัญญา ไม่ใช่ผู้จบปริญญา 

ดั่งเช่นพระอาจารย์ Sayadaw  U Jotika, พระชาวพม่า  เคยเทศเรื่องเกี่ยวกับมงคลสูตร ท่านบอกว่า
My grandmother has no education but she is very wise.”   

ตัวอย่างบุคคลที่เป็นบัณฑิตที่เราเห็นได้ชัดเจนที่สุดในปัจจุบันก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างทั้งทางด้านความคิด คำพูด และการกระทำที่เป็นประโยชน์ต่อพสกนิกรและประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง อีกทั้งยังทรงเปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรมอันหาผู้เสมอเหมือนได้ยาก
(ธีรโชติ เกิดแก้)

ความคบบัณฑิต จัดเป็นมงคลความเจริญสุขสวัสดี ทั้งชาตินี้ชาติหน้า ด้วยบัณฑิตย่อมแสวงหาประโยชน์ ๒ ประการคือ ประโยชน์ชาตินี้ และประโยชน์ชาติหน้า ผู้ใดไปคบหาแล้วย่อมจะชักพาให้ทำดี คือ ทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น และให้ประพฤติตนอยู่ในสุจริตทั้ง ๓ คือ
      
       ๑. กายสุจริต
       ๑.๑ ไม่ฆ่าสัตว์
       ๑.๒ ไม่ลักทรัพย์
       ๑.๓ ไม่ประพฤติผิดในกามคุณ
      
       ๒. วจีสุจริต
       ๒.๑ ไม่พูดปดผู้อื่น
       ๒.๒ ไม่พูดส่อเสียดยุยงผู้อื่น
       ๒.๓ ไม่พูดคำหยาบ
       ๒.๔ ไม่พูดจาเพ้อเจ้อเป็นคำพูดที่ไม่มีประโยชน์
      
       ๓. มโนสุจริต
       ๓.๑ ไม่โลภคิดลักของผู้อื่น
       ๓.๒ ไม่พยาบาทอาฆาตผูกเวร
       ๓.๓ ไม่เห็นผิดจากพุทธศาสนา

ที่มา ธรรมะกับชีวิต: http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=4588233315347

เกี่ยวกับมงคล 38  บางคนอาจจะไม่รู้ (รวมทั้งฉันด้วย) ว่า พระอัจฉริยภาพของพระเจ้าอยู่หัวของเราแต่ละพระองค์มีเหลือคณานับเพียงใด หนึ่งคือ พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ที่ได้ทรงพระราชนิพนธ์มงคลสูตร เป็นบทร้อยกรองประเภทคำฉันท์  (พ.ศ. 2466) โดยใช้คำประพันธ์ 2 ชนิด คือ  กาพย์ฉบัง 16 และอินทรวิเชียรฉันท์ 11 ทรงนำคาถาภาษาบาลีจากพระไตรปิฏก มาถอดความเป็นร้อยกรองภาษาไทย ได้ถูกต้องตรงตามบังคับในฉันทลักษณ์ โดยไม่เสียเนื้อความจากพระคาถาบาลี   ที่น่าสังเกตุ คือลำดับของมงคลแต่ละข้อก็เป็นไปตามพระคาถาเดิม ในพระสูตร  แสดงให้เห็นพระอัจฉริยภาพด้านภาษาได้อย่างยอดเยี่ยม  และความสนพระทัยในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง

(ขอยกคาถาแรกมาให้อ่านกัน  ส่วนใครสนใจศึกษาทั้งหมด คลิกลิงค์ข้างล่างได้เลย) 

จุดมุ่งหมายของพระองค์เพื่อให้ตระหนักว่า


สิริมงคลจะเกิดแก่ผู้ใดก็เพียงผลมาจากการปฏิบัติของตนทั้งสิ้น
ไม่มีผู้ใดหรือสิ่งใดจะทำให้เกิดสิริมงคลแก่เราได้  นอกจากตัวเราเอง

                                                "อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา
                                                  ปูชา จ ปูชนียานํ  เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
                                                  หนึ่งคือบ่คบพาล  เพราะจะพาประพฤติผิด
                                                  หนึ่งคบกะบัณฑิต  เพราะจะพาประสบผล
                                                  หนึ่งกราบและบูชา อภิบูชนีย์ชน
                                                  ข้อนี้แหละมงคล  อดิเรกอุดมดี"


มงคลสูตร

“There is no time and space in our friendship”…
                                            From...Snow in the Summer by  Phra Sayadaw U Jotika



No comments:

Post a Comment